Fine French cuisine by the harbour in Honfleur

#dreamdestination สำหรับคนที่มาเที่ยวเมือง Honfleur แล้วอยากจะลองอาหารฝรั่งเศสในร้านแนว Fine dining ที่โชว์ฝีมือเชฟแบบจริงจังดูซักมื้อ ร้าน L’Absinthe นี้น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดค่ะ เพราะเป็นร้านที่ถูกแนะนำไว้ใน Michelin Guide แถมยังรับประกันความอร่อยโดย Gault & Millau อีกด้วย เห็นแบบนี้แล้ว เมื่อได้มาถึงถิ่นก็ต้องขอจัดซักมื้อล่ะค่ะ 📌 ทำเลที่ตั้ง / บรรยากาศ ร้านอยู่ริมถนน Quai de la Quarantaine ตรงหัวมุมที่ตัดกับถนน Rue de la Ville ติดกับท่าเรือประมง เลยบริเวณ Vieux Bassin (Old Habour) ที่ใช้เป็นท่าเรือสำราญ มาหน่อยเดียวค่ะ โดยร้านนี้เป็นส่วนหนึ่งของโรงแรมชื่อเดียวกัน มีทั้งที่นั่งส่วนด้านในที่ตกแต่งหรูหรา และ terrace ติดริมถนนซึ่งทำเป็นเรือนกระจกโปร่งทั้งหลัง เห็นวิวได้โดยรอบ สวยงามน่าสบายทีเดียว 🍽 เมนูที่ได้ลอง เมนูที่นี่จะจัดเป็นคอร์สตามแบบฉบับร้านสไตล์ Fine-dining (แต่ก็มีเมนู a la carte ให้สั่งเพิ่มจากในคอร์สได้บ้างนิดๆหน่อยๆนะคะ) โดยมีการจัดคอร์สให้เลือกอยู่หลายแบบ แล้วตั้งชื่อแต่ละเมนูตามชื่อบุคคลสำคัญของฝรั่งเศสที่มีความเกี่ยวข้องกับเมืองนี้ ไอเดียเก๋ทีเดียวค่ะ โดยทุกๆเมนูจะมีขนมปังและเนยสดเนื้อดีทั้งแบบเค็มและแบบผสม herbs ให้ด้วย เราเลือกลองกันไป 2 เมนูตามนี้เลย [Menu Eugène Boudin] Eugène Louis Boudin – เป็นศิลปินผู้เกิดและเติบโตที่เมือง Honfleur โดยเชี่ยวชาญการวาดภาพทิวทัศน์ทะเลและชายฝั่งที่มีฉากหลังเป็นท้องฟ้าสีสันต่างๆ จนได้รับฉายาว่าเป็น “King of the skies” ....ซึ่งเมนูคอร์สนี้ก็ตั้งชื่อตามศิลปินท่านนี้นี่เองค่ะ ในเมนูจะประกอบไปด้วย Entrée / Main Course/Dessert แต่เวลาสั่งจะให้เลือกแค่ 2 courses ว่าจะเอาเป็น Entrée + Main Course หรือ Main Course + Dessert อย่างใดอย่างหนึ่ง (เราเลือกอันหลัง) โดยในแต่ละคอร์สจะมีราว 4-5 เมนูให้เลือกค่ะ ➡️ Amuse – bouche – เป็นครีมมูสแซลมอนเนื้อเนียนนุ่มถ้วยจิ๋ว โรย croutons กรอบๆไว้ด้านบน อร่อยสดชื่นและไม่คาวเลย เป็นการเริ่มต้นมื้อที่ยอดเยี่ยมทีเดียวค่ะ ➡️ Medallion of Lobster in Orange and Madagascar Vanilla Butter Sauce - เสน่ห์ของร้านแนว Fine-dining อย่างหนึ่งก็คือมักจะได้ลองอาหารที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบนี้ล่ะค่ะ ซอสของเมนูนี้จะเป็น butter sauce ที่มีรสแฝงของวานิลลาและกลิ่นส้มบางๆ ทานกับ asparagus และผักอื่นๆ ..ได้ออกมาเป็นรสชาติที่ซับซ้อน คล้ายจะเป็นขนม แต่ก็เป็นของคาว เข้มข้น แต่ก็สดชื่นและไม่เลี่ยน โดยรวมแล้วเข้ากับ lobster ได้แบบไม่น่าเชื่อเลยนะ ➡️ Mango and Passion Fruit Soufflé with Ginger Ice Cream – ของหวานจานนี้บอกเลยว่าประทับใจมากกก... อร่อยที่สุดในโลก! ...เนื้อ Soufflé ด้านบนกรอบนิดๆ ข้างในนุ่มเบาราวปุยเมฆ หอมกลิ่นขนมอบร้อนๆปนกับกลิ่นมะม่วงและเสาวรสที่ผสมผสานมาได้กลมกล่อมพอดิบพอดี ให้ความรู้สึกสดชื่น มีซอสมะม่วง+เสาวรสป้ายมาให้ต่างหากไว้ทานด้วยกันอีกนิดนึง แถมยังมีไอศครีมรสขิงหอมๆที่เสิร์ฟมาในกระทงทำจากน้ำตาลคาราเมลที่อบจนกรอบ เข้ากันดีสุดๆ .. ➡️ Petits Fours – ปิดท้ายด้วยชุดขนมหวานชิ้นจิ๋วๆที่มีทั้งมาการอง เค้ก และเยลลี่ผลไม้เปรี้ยวๆหวานๆ จัดว่าทานได้เพลินๆค่ะ [Menu Samuel de Champlain]] เมนูชุดนี้ตั้งชื่อตาม Samuel de Champlain – ผู้เป็นทั้งนักสำรวจ คนเขียนแผนที่ ทหาร นักการฑูต ...เป็นผู้บุกเบิกทวีปอเมริกาเหนือและก่อตั้งเมือง Quebec ของแคนาดาขึ้น จนได้รับสมญาว่าเป็น “The Father of New France” เลยล่ะค่ะ เมนูนี้มี 3 courses ตามนี้เลย ➡️ Amuse – bouche – เป็นมูสแซลมอนเช่นเดียวกับในเซ็ทที่แล้วค่ะ ➡️ A Fan of Melon and Smoked Duck Breast Fillet – เมล่อนกับอกเป็ดรมควัน ฟังดูธรรมดา แต่อกเป็ดเค้าเนื้อนุ่ม รสชาติดี คุณภาพจัดว่าเยี่ยมเลยล่ะ ➡️ Filleted Breast of Guinea Fowl with Citrus Fruit – เนื้อส่วนอกของ Guinea Fowl ที่ชิมดูแล้วมีความนุ่มและเนียนกว่าเนื้ออกไก่ธรรมดาทั่วไปแบบรู้สึกได้ชัดเจน ราดมาด้วยซอสครีมที่มีกลิ่นส้มผสมแทรกอยู่ แถมมีส้มเป็นชิ้นๆวางมาให้ทานสลับตัดเลี่ยนได้ด้วย อร่อยใช้ได้เลย ➡️ Crème brûlée à la vanilla – จานนี้ทำออกมาได้ดีงามตามมาตรฐาน เนื้อในนุ่มเนียนหอมวานิลลา ด้านบนเป็นน้ำตาลที่เบิร์นมาได้สวยงามกรอบกริ๊บ ไม่มีข้อติเลยล่ะ